มันเป็นเรื่องที่เจอสมัยเด็ก เอาเท่าที่จำได้นะ
สมัยก่อนผมอยู่กับยายที่บ้านสวนในจังหวัดราชบุรีก็เจอเรื่องแปลกๆกับตัวเองบ้างหลายเรื่องอยู่เอาเท่าที่จำรายละเอียดได้มาเล่าให้ฟังละกันนะ
1 หญิงลึกลับ
เรื่องนี้ค่อนข้างจำได้แม่นเพราะเจอแบบระยะประชิดมาก วันนั้นเป็นวันพระขึ้น15ค่ำในหน้าร้อน ที่จำได้เพราะวันนั้นเปิดหน้าต่างนอนเพราะร้อน แล้วแสงจันทร์มันเข้ามาสว่างมาก จำได้ว่าพอจบละครหลังข่าวก็เข้านอน หลับไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่มาสะดุ้งตื่นเพราะมีความรู้สึกว่ามีคนมอง พอลืมตามา ก็มองไปทางซ้ายมือ เพราะแสงจันทร์มันเข้ามาทางหัวนอน เลยเห็นชัด สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงใส่สไบเขียว ผมดำยาว ผิวขาว นั่งอยู่ทางซ้ายมือ คือนั่งในมุ้งแล้วนั่งติดที่ที่เรานอนเลย แต่ที่จำขึ้นใจสุดคือเธอ ไม่มีหน้า หน้าขาวแบบเรียบๆไปเลย ไม่มีตา จมูก ปาก พอเห็นเท่านั้นล่ะ ผมตะโกนเรียกยายสุดเสียงเลย ยายก็ตกใจตื่น รีบฉายไฟฉายมาที่มุ้งผม ผมก็กระโจนไปเปิดไฟในบ้าน พอไฟสว่าง ก็ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนั้นถามว่ากลัวมั้ย ตอบว่าไม่นะ เพราะตอนนั้นผมก็มานั่งคิดอยู่ว่าเราอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ แล้วก็ปิดไฟนอนต่อเฉยเลย มานั่งคิดตอนนี้ ผมก็ยังแปลกใจนะว่าผมนอนต่อได้ยังไงทั้งๆที่ตอนเด็กๆผมกลัวผีมาก
2 เสียงสะอื้นของใคร
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเรียน ม.ต้น เรื่องนี้ผมยังอยู่ในบ้านสวนที่ราชบุรีอยู่ ย้อนไป18ปีน่าจะได้ บ้านที่ผมอยู่ จะอยู่ในสวนมะพร้าว บ้านส่วนใหญ่ก็จะปลูกค่อนข้างห่างกันพอสมควร เพราะบ้านแต่ละที่ก็จะมีสวนเป็นของตัวเอง โชคดีหน่อยที่บ้านผม ยังมีบ้านญาติและคนรู้จักปลูกอยู่ใกล้ๆกันสี่ห้าหลัง ทำให้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีบ้านหลังหนึ่ง ที่ปลูกห่างจากบ้านผมไปประมาณห้าถึงหกร้อยเมตร เป็นบ้านทรงไทยแบบชาวบ้าน จะเก่าๆหน่อย ก็จะมีสองคนตายายเขาเลี้ยงหลานอยู่ที่นั่น วันที่เกิดเรื่องคือบ้านแกจะเป็นทางที่ผมเดินไปขึ้นรถไปโรงเรียนเป็นประจำ แต่วันนั้นมันแปลกตรงที่บ้านแกมีคนมาเยอะมาก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะต้องรีบไปขึ้นรถ พอเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน ก็เลยถามป้าว่าเมื่อเช้าบ้านนั้นเขามีงานอะไรเห็นคนเยอะแยะเลย ป้าเขาก็บอกว่ายายบ้านนั้นแกลื่นล้มในครัวตอนนี้อยู่ห้องไอซียู ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะไม่ค่อยสนิทกัน ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ม.3และผมค่อนข้างติดดูรายการเพลง ซึ่งสมัยก่อนรายการเพลงค่อนข้างจะมาดึก ผมก็จะนอนดึกทุกวัน จำได้ว่าวันนั้นนอนดูรายการเพลงไปได้ครึ่งนึงแล้ว จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังมาจากหลังบ้าน ซึ่งตอนแรกคิดว่าหูแว่ว เลยปิดเสียงทีวี แล้วตั้งใจฟังดู คือเป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมากจากทางหลังบ้านจริงๆ เท่านั้นล่ะครับ ปิดทีวี ปิดไฟคลุมโปงนอนเลย แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้ วันต่อมาก็ยังได้ยินอีก คือจะมาร้องประจำหลังเที่ยงคืนไปแล้ว จนหลังๆเริ่มชิน มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามากจากไหน พอได้ยินเสียงผมเปิดไฟในครัว แล้วลองมองลอดหน้าต่างในครัวไป โดยที่คิดว่า เราอยู่ในบ้าน ผีทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว ก็ยืนมองอยู่นานแต่ไม่เห็นอะไร เสียงร้องไห้ก็ร้องอยู่อย่างนั้นหลายสิบวัน จนมาได้ยินข่าวว่ายายที่ล้มเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องน่าจะจบ แต่ไม่จบครับก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนเสร็จวันเผาล่ะครับ เสียงนั้นถึงได้เงียบไป ผมก็เลยมาเล่าให้ป้าฟังว่าเนี๊ยผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ทุกคืนเลยพึ่งจะเงียบไปก็ตอนเผายายนี่ล่ะ ป้าก็บอกว่าน่าจะเป็นวิญญาณของยายล่ะ เพราะมีคนมาบอกป้าว่า ยายเขาที่จริงยังไม่สิ้นอายุขัย แต่ผีที่แกเลี้ยงไว้ มาแฝงในร่าง แล้วแกเข้าร่างไม่ได้ แกคงเสียใจเลยมาร้องไห้ ให้ได้ยิน แต่คนที่โดนหนักสุดคือลูกพี่ลูกน้องผม มันเล่าให้ฟังว่าวันนั้นมันไปเตะบอลที่โรงเรียน แล้วเลิกช้าไปหน่อย กว่าจะเดินเข้ามาก็มืดพอดี จังหวะนั้นมันก็คิดอยู่ว่าเลี้ยวขวาต้องผ่านบ้านของยาย เลี้ยวซ้ายก็ไกลแถมมืดกว่าอีก มันก็คิดแค่ว่าหลับหูหลับตาเดินผ่านไปนิดเดียวก็ทางโล่งแล้ว มันก็กัดฟันเลี้ยวขวาไป เดินจ้ำๆไป จังหวะที่กำลังผ่านจะพ้น มันมีความรู้สึกว่ามีคนมอง มันเลยชำเรืองหางตาไปทางบ้าน มันก็เห็นยายนั่งมองมันอยู่บนหลังคาบ้าน เท่านั้นล่ะครับ มันบอก กูวิ่งไม่คิดชีวิตเลย เช้ามาถึงกับจับไข้ไปโรงเรียนไม่ได้ไปหลายวัน
3 หวงบ้าน
บ้านหลังที่ผมจะพูดถึงนี้ คือก็ปลูกอยู่แถวๆกลุ่มบ้านที่ผมอยู่ แต่จะอยู่ห่างไปซักสองร้อยถึงสามร้อยเมตร คือจะเป็นบ้านออกทรงกระต๊อบ คือพื้นไม้ แต่ผนังจะเป็นไม้ไผ่ขัดแตะมาทำเป็นผนัง แล้วยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตร เจ้าของบ้านค่อนข้างจะรักสันโดษและมีนิสัยขี้เหนียว นานๆจะเห็นแกสักครั้งนึง จนมีน้ำท่วมใหญ่ แกก็ย้ายไปอยู่กับเมียแก จนนำ้ลดก็ไม่เห็นแกกลับมา ก็คิดว่าคงไม่กลับมาแล้วเพราะบ้านแกน้ำท่วมหักพอสมควร คงอาศัยอยู่กับเมียเลย ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนผ่านมาซักพัก มีเหตุที่ต้องให้เดินผ่านบ้านแก เพราะบ้านแกเป็นทางลัดที่จะเดินไปถนนลูกรังที่ใกล้บ้านที่สุด ซึ่งตัวบ้านจะปลูกทับทางโค้งพอดีแล้วหลังบ้านจะอยู่ติดร่องสวนเลย จะมีทางเดินคือหน้าบ้านกับต้องเลาะหลังบ้านไป วันนั้นผมไปกับลุง ลุงผมเดินหน้าบ้าน ด้วยความที่ยังไม่โต ก็เลยเดินเลาะหลังบ้านแกไปโดยจับไม้คานตรงเสาโหนตัวหลบร่องสวนไป จังหวะที่จับคาน ผมก็ได้ยินเสียง กุกๆกักๆเหมือนมีใครค้นของอยู่ในบ้าน แต่ด้วยความที่มันกลางวันก็คิดว่า น่าจะเป็นหนูเลยไม่สนใจอะไร ก็ไปทำธุระจนเสร็จ ขากลับก็กลับมากับลุง ก็เหมือนเดิม ผมเดินหลังบ้านในแบบเดิม ก็ได้ยินเสียงกุกๆกักๆ ดังมาจากในบ้านอีก ก็คิดว่าเป็นหนูนั่นล่ะ กลางวันผีเผอที่ไหนจะมา จนเดินกลับมาถึงบ้านลุง ป้าก็หน้าตาตื่น เดินมาบอกลุงว่า เจ้าของบ้านหลังนั้น เสียแล้ว เสียตั้งแต่เมื่อวาน เห็นเขาบอกว่าผูกคอตายกับต้นแคตรงบ้านเมียแก ลุงก็ถามป้าว่าจะเป็นไปได้ยังไง กิ่งต้นแคมันอ่อนจะตาย ป้าก็บอกว่า ตายจริงๆขนาดกิ่งหักลงมายังไม่รอดเลย เขาว่าตรงนั้นมันเคยมีคนโดนฟ้าผ่าตายมาก่อน คงมาเอาตัวตายตัวแทนไป ลุงก็บอกว่าอย่างนี้ก็เฮี้ยนแน่ เพราะเจ้าของบ้านหลังนั้น ดันชื่อเหมือนเมีย แล้วคนโบราณเขาบอกว่าถ้าผัวเมียชื่อเหมือนกัน ตายไปจะเฮี้ยนน่าดู แล้วนี่มาผูกคอตายด้วย คงได้เจอดีกันบ้างล่ะ ซึ่งก็เจอกันจริงๆ เขาว่าบางครั้งตอนโพล้เพล้ของวันพระใหญ่ แกจะมายืนอยู่ตรงต้นแคที่แกผูกคอตาย ให้คนได้เห็นบ่อยครั้ง
4 เพื่อนมาลา
เรื่องนี้สมัยที่เข้ามาทำงานที่สมุทรปราการแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า พ่อเขามาซื้อบ้านอยู่ฝั่ง อ.เมือง ซึ่งหน้าหมู่บ้านจะมีร้านเกมเพลย์อยู่ ก็ติดเล่นเกมมาก จนได้เพื่อนเล่นวินนิ่งด้วยกันเป็นคนขับวินหน้าหมู่บ้าน ถ้าเจอก็จะเล่นด้วยกันประจำ ผลัดกันออกค่าเกม ผลัดกันเลี้ยงน้ำ จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมได้งานที่ใหม่แต่ต้องไปทำที่ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ ผมก็ไปเช่าบ้านอยู่ที่ฝั่งนั้นเลย แต่เลิกงานวันเสาร์ผมจะกลับบ้าน พอมาถึงบ้านก็จะแวะเล่นเกมกับพี่คนนี้เสมอ ก็วนเวียนอย่างนี้อยู่สองสามเดือน จนถึงวันนั้นก็เลิกงานวันเสาร์ แต่วันนั้นเสร็จช้าจึงถึงบ้านค่ำแล้ว ด้วยความเหนื่อยงานเลยไม่แวะร้านเกม แล้วตรงเข้าบ้านเลยคิดว่าพรุ่งนี้ก็ตื่นเช้าหน่อยค่อยไปชวนพี่เขาเล่น พอเช้าวันอาทิตย์ ผมก็รีบตื่นแล้วตรงไปร้านเกมเลย ก็ค่อนข้างสนิทกับเจ้าของร้าน ตอนนั้นเจ้าของร้านอยู่หลังร้าน ผมก็ตะโกนบอกไปว่าเปิดเครื่องเกมเล่นนะพี่ เจ้าของร้านก็บอกเอาเลยตามสบาย ผมก็นั่งเล่นวินนิ่งรอพี่เขาไป ซักครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นเขามา โดยปกติแล้วเวลานี้พี่เขาต้องแวะมามองบ้างว่าผมเข้าร้านหรือยัง แต่ผมก็คิดว่าแกคงไปส่งลูกค้ามั้ง ก็นั่งเล่นเกมต่อไป ซักพักผมได้กลิ่นธูปฟรุ้งเต็มร้านเลย แต่ผมนั่งอยู่ใต้หิ้งพระก็ไม่เห็นว่ามีจุดธูป แต่บ้านแกเป็นตึกแถวสามชั้นก็คิดว่าชั้นบนคงมีหิ้งพระอีก จังหวะนั้นเจ้าของร้าน ก็ออกมาจากหลังร้านพอดี ก็เลยถามเขาว่าพี่ได้จุดธูปที่ชั้นบนหรือเปล่า ระวังไฟไหม้บ้านเอานะ แกก็หันมาจ้องหน้า แล้วแกก็ถามว่า รู้แล้วเหรอ ผมก็งง เลยถามว่ารู้อะไรพี่ เจ้าของร้านก็บอกว่า เพื่อนแกอะตายแล้วนะ ผมก็อึ้งไปเลย แล้วถามแกว่าโกหกหรือเปล่า อำแรงไปนะพี่ เจ้าของร้านก็ว่าตายแล้วจริงๆ ตายเมื่อวันศุกร์ ขับไปส่งลูกค้า แล้วโดนรถเฉี่ยวล้ม แล้วโดนคันหลังวิ่งมาทับ ฉันก็นึกว่าแกรู้แล้ว แล้วมาอำฉัน ยังดีว่ามาแค่กลิ่นธูปนะ บางคนเขานั่งกินเบียร์กันอยู่ ก็เห็นแกเดินมาจะมานั่งกินด้วยก็มีเลย ผมได้แต่ขนลุกเพราะตอนที่ยืนคุยกับพี่เจ้าของร้าน ผมก็ยังได้กลิ่นธูปอยู่เลย จนต้องขอกลับบ้าน และคิดในใจว่าไปที่ชอบๆนะพี่นะ
เรื่องของผมก็มีเท่านี้นะครับ ถ้ามีพิมพ์ผิดหรือตกหล่นก็ขออภัยด้วยนะครับ
มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง
สมัยก่อนผมอยู่กับยายที่บ้านสวนในจังหวัดราชบุรีก็เจอเรื่องแปลกๆกับตัวเองบ้างหลายเรื่องอยู่เอาเท่าที่จำรายละเอียดได้มาเล่าให้ฟังละกันนะ
1 หญิงลึกลับ
เรื่องนี้ค่อนข้างจำได้แม่นเพราะเจอแบบระยะประชิดมาก วันนั้นเป็นวันพระขึ้น15ค่ำในหน้าร้อน ที่จำได้เพราะวันนั้นเปิดหน้าต่างนอนเพราะร้อน แล้วแสงจันทร์มันเข้ามาสว่างมาก จำได้ว่าพอจบละครหลังข่าวก็เข้านอน หลับไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่มาสะดุ้งตื่นเพราะมีความรู้สึกว่ามีคนมอง พอลืมตามา ก็มองไปทางซ้ายมือ เพราะแสงจันทร์มันเข้ามาทางหัวนอน เลยเห็นชัด สิ่งที่เห็นคือ ผู้หญิงใส่สไบเขียว ผมดำยาว ผิวขาว นั่งอยู่ทางซ้ายมือ คือนั่งในมุ้งแล้วนั่งติดที่ที่เรานอนเลย แต่ที่จำขึ้นใจสุดคือเธอ ไม่มีหน้า หน้าขาวแบบเรียบๆไปเลย ไม่มีตา จมูก ปาก พอเห็นเท่านั้นล่ะ ผมตะโกนเรียกยายสุดเสียงเลย ยายก็ตกใจตื่น รีบฉายไฟฉายมาที่มุ้งผม ผมก็กระโจนไปเปิดไฟในบ้าน พอไฟสว่าง ก็ไม่มีอะไรแล้ว ตอนนั้นถามว่ากลัวมั้ย ตอบว่าไม่นะ เพราะตอนนั้นผมก็มานั่งคิดอยู่ว่าเราอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ แล้วก็ปิดไฟนอนต่อเฉยเลย มานั่งคิดตอนนี้ ผมก็ยังแปลกใจนะว่าผมนอนต่อได้ยังไงทั้งๆที่ตอนเด็กๆผมกลัวผีมาก
2 เสียงสะอื้นของใคร
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเรียน ม.ต้น เรื่องนี้ผมยังอยู่ในบ้านสวนที่ราชบุรีอยู่ ย้อนไป18ปีน่าจะได้ บ้านที่ผมอยู่ จะอยู่ในสวนมะพร้าว บ้านส่วนใหญ่ก็จะปลูกค่อนข้างห่างกันพอสมควร เพราะบ้านแต่ละที่ก็จะมีสวนเป็นของตัวเอง โชคดีหน่อยที่บ้านผม ยังมีบ้านญาติและคนรู้จักปลูกอยู่ใกล้ๆกันสี่ห้าหลัง ทำให้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีบ้านหลังหนึ่ง ที่ปลูกห่างจากบ้านผมไปประมาณห้าถึงหกร้อยเมตร เป็นบ้านทรงไทยแบบชาวบ้าน จะเก่าๆหน่อย ก็จะมีสองคนตายายเขาเลี้ยงหลานอยู่ที่นั่น วันที่เกิดเรื่องคือบ้านแกจะเป็นทางที่ผมเดินไปขึ้นรถไปโรงเรียนเป็นประจำ แต่วันนั้นมันแปลกตรงที่บ้านแกมีคนมาเยอะมาก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะต้องรีบไปขึ้นรถ พอเลิกเรียนกลับมาถึงบ้าน ก็เลยถามป้าว่าเมื่อเช้าบ้านนั้นเขามีงานอะไรเห็นคนเยอะแยะเลย ป้าเขาก็บอกว่ายายบ้านนั้นแกลื่นล้มในครัวตอนนี้อยู่ห้องไอซียู ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะไม่ค่อยสนิทกัน ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ม.3และผมค่อนข้างติดดูรายการเพลง ซึ่งสมัยก่อนรายการเพลงค่อนข้างจะมาดึก ผมก็จะนอนดึกทุกวัน จำได้ว่าวันนั้นนอนดูรายการเพลงไปได้ครึ่งนึงแล้ว จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงดังมาจากหลังบ้าน ซึ่งตอนแรกคิดว่าหูแว่ว เลยปิดเสียงทีวี แล้วตั้งใจฟังดู คือเป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมากจากทางหลังบ้านจริงๆ เท่านั้นล่ะครับ ปิดทีวี ปิดไฟคลุมโปงนอนเลย แต่เรื่องมันไม่จบแค่นี้ วันต่อมาก็ยังได้ยินอีก คือจะมาร้องประจำหลังเที่ยงคืนไปแล้ว จนหลังๆเริ่มชิน มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามากจากไหน พอได้ยินเสียงผมเปิดไฟในครัว แล้วลองมองลอดหน้าต่างในครัวไป โดยที่คิดว่า เราอยู่ในบ้าน ผีทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว ก็ยืนมองอยู่นานแต่ไม่เห็นอะไร เสียงร้องไห้ก็ร้องอยู่อย่างนั้นหลายสิบวัน จนมาได้ยินข่าวว่ายายที่ล้มเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องน่าจะจบ แต่ไม่จบครับก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนเสร็จวันเผาล่ะครับ เสียงนั้นถึงได้เงียบไป ผมก็เลยมาเล่าให้ป้าฟังว่าเนี๊ยผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ทุกคืนเลยพึ่งจะเงียบไปก็ตอนเผายายนี่ล่ะ ป้าก็บอกว่าน่าจะเป็นวิญญาณของยายล่ะ เพราะมีคนมาบอกป้าว่า ยายเขาที่จริงยังไม่สิ้นอายุขัย แต่ผีที่แกเลี้ยงไว้ มาแฝงในร่าง แล้วแกเข้าร่างไม่ได้ แกคงเสียใจเลยมาร้องไห้ ให้ได้ยิน แต่คนที่โดนหนักสุดคือลูกพี่ลูกน้องผม มันเล่าให้ฟังว่าวันนั้นมันไปเตะบอลที่โรงเรียน แล้วเลิกช้าไปหน่อย กว่าจะเดินเข้ามาก็มืดพอดี จังหวะนั้นมันก็คิดอยู่ว่าเลี้ยวขวาต้องผ่านบ้านของยาย เลี้ยวซ้ายก็ไกลแถมมืดกว่าอีก มันก็คิดแค่ว่าหลับหูหลับตาเดินผ่านไปนิดเดียวก็ทางโล่งแล้ว มันก็กัดฟันเลี้ยวขวาไป เดินจ้ำๆไป จังหวะที่กำลังผ่านจะพ้น มันมีความรู้สึกว่ามีคนมอง มันเลยชำเรืองหางตาไปทางบ้าน มันก็เห็นยายนั่งมองมันอยู่บนหลังคาบ้าน เท่านั้นล่ะครับ มันบอก กูวิ่งไม่คิดชีวิตเลย เช้ามาถึงกับจับไข้ไปโรงเรียนไม่ได้ไปหลายวัน
3 หวงบ้าน
บ้านหลังที่ผมจะพูดถึงนี้ คือก็ปลูกอยู่แถวๆกลุ่มบ้านที่ผมอยู่ แต่จะอยู่ห่างไปซักสองร้อยถึงสามร้อยเมตร คือจะเป็นบ้านออกทรงกระต๊อบ คือพื้นไม้ แต่ผนังจะเป็นไม้ไผ่ขัดแตะมาทำเป็นผนัง แล้วยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตร เจ้าของบ้านค่อนข้างจะรักสันโดษและมีนิสัยขี้เหนียว นานๆจะเห็นแกสักครั้งนึง จนมีน้ำท่วมใหญ่ แกก็ย้ายไปอยู่กับเมียแก จนนำ้ลดก็ไม่เห็นแกกลับมา ก็คิดว่าคงไม่กลับมาแล้วเพราะบ้านแกน้ำท่วมหักพอสมควร คงอาศัยอยู่กับเมียเลย ก็ไม่ได้สนใจอะไร จนผ่านมาซักพัก มีเหตุที่ต้องให้เดินผ่านบ้านแก เพราะบ้านแกเป็นทางลัดที่จะเดินไปถนนลูกรังที่ใกล้บ้านที่สุด ซึ่งตัวบ้านจะปลูกทับทางโค้งพอดีแล้วหลังบ้านจะอยู่ติดร่องสวนเลย จะมีทางเดินคือหน้าบ้านกับต้องเลาะหลังบ้านไป วันนั้นผมไปกับลุง ลุงผมเดินหน้าบ้าน ด้วยความที่ยังไม่โต ก็เลยเดินเลาะหลังบ้านแกไปโดยจับไม้คานตรงเสาโหนตัวหลบร่องสวนไป จังหวะที่จับคาน ผมก็ได้ยินเสียง กุกๆกักๆเหมือนมีใครค้นของอยู่ในบ้าน แต่ด้วยความที่มันกลางวันก็คิดว่า น่าจะเป็นหนูเลยไม่สนใจอะไร ก็ไปทำธุระจนเสร็จ ขากลับก็กลับมากับลุง ก็เหมือนเดิม ผมเดินหลังบ้านในแบบเดิม ก็ได้ยินเสียงกุกๆกักๆ ดังมาจากในบ้านอีก ก็คิดว่าเป็นหนูนั่นล่ะ กลางวันผีเผอที่ไหนจะมา จนเดินกลับมาถึงบ้านลุง ป้าก็หน้าตาตื่น เดินมาบอกลุงว่า เจ้าของบ้านหลังนั้น เสียแล้ว เสียตั้งแต่เมื่อวาน เห็นเขาบอกว่าผูกคอตายกับต้นแคตรงบ้านเมียแก ลุงก็ถามป้าว่าจะเป็นไปได้ยังไง กิ่งต้นแคมันอ่อนจะตาย ป้าก็บอกว่า ตายจริงๆขนาดกิ่งหักลงมายังไม่รอดเลย เขาว่าตรงนั้นมันเคยมีคนโดนฟ้าผ่าตายมาก่อน คงมาเอาตัวตายตัวแทนไป ลุงก็บอกว่าอย่างนี้ก็เฮี้ยนแน่ เพราะเจ้าของบ้านหลังนั้น ดันชื่อเหมือนเมีย แล้วคนโบราณเขาบอกว่าถ้าผัวเมียชื่อเหมือนกัน ตายไปจะเฮี้ยนน่าดู แล้วนี่มาผูกคอตายด้วย คงได้เจอดีกันบ้างล่ะ ซึ่งก็เจอกันจริงๆ เขาว่าบางครั้งตอนโพล้เพล้ของวันพระใหญ่ แกจะมายืนอยู่ตรงต้นแคที่แกผูกคอตาย ให้คนได้เห็นบ่อยครั้ง
4 เพื่อนมาลา
เรื่องนี้สมัยที่เข้ามาทำงานที่สมุทรปราการแล้ว เรื่องมันมีอยู่ว่า พ่อเขามาซื้อบ้านอยู่ฝั่ง อ.เมือง ซึ่งหน้าหมู่บ้านจะมีร้านเกมเพลย์อยู่ ก็ติดเล่นเกมมาก จนได้เพื่อนเล่นวินนิ่งด้วยกันเป็นคนขับวินหน้าหมู่บ้าน ถ้าเจอก็จะเล่นด้วยกันประจำ ผลัดกันออกค่าเกม ผลัดกันเลี้ยงน้ำ จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมได้งานที่ใหม่แต่ต้องไปทำที่ฝั่งพระสมุทรเจดีย์ ผมก็ไปเช่าบ้านอยู่ที่ฝั่งนั้นเลย แต่เลิกงานวันเสาร์ผมจะกลับบ้าน พอมาถึงบ้านก็จะแวะเล่นเกมกับพี่คนนี้เสมอ ก็วนเวียนอย่างนี้อยู่สองสามเดือน จนถึงวันนั้นก็เลิกงานวันเสาร์ แต่วันนั้นเสร็จช้าจึงถึงบ้านค่ำแล้ว ด้วยความเหนื่อยงานเลยไม่แวะร้านเกม แล้วตรงเข้าบ้านเลยคิดว่าพรุ่งนี้ก็ตื่นเช้าหน่อยค่อยไปชวนพี่เขาเล่น พอเช้าวันอาทิตย์ ผมก็รีบตื่นแล้วตรงไปร้านเกมเลย ก็ค่อนข้างสนิทกับเจ้าของร้าน ตอนนั้นเจ้าของร้านอยู่หลังร้าน ผมก็ตะโกนบอกไปว่าเปิดเครื่องเกมเล่นนะพี่ เจ้าของร้านก็บอกเอาเลยตามสบาย ผมก็นั่งเล่นวินนิ่งรอพี่เขาไป ซักครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นเขามา โดยปกติแล้วเวลานี้พี่เขาต้องแวะมามองบ้างว่าผมเข้าร้านหรือยัง แต่ผมก็คิดว่าแกคงไปส่งลูกค้ามั้ง ก็นั่งเล่นเกมต่อไป ซักพักผมได้กลิ่นธูปฟรุ้งเต็มร้านเลย แต่ผมนั่งอยู่ใต้หิ้งพระก็ไม่เห็นว่ามีจุดธูป แต่บ้านแกเป็นตึกแถวสามชั้นก็คิดว่าชั้นบนคงมีหิ้งพระอีก จังหวะนั้นเจ้าของร้าน ก็ออกมาจากหลังร้านพอดี ก็เลยถามเขาว่าพี่ได้จุดธูปที่ชั้นบนหรือเปล่า ระวังไฟไหม้บ้านเอานะ แกก็หันมาจ้องหน้า แล้วแกก็ถามว่า รู้แล้วเหรอ ผมก็งง เลยถามว่ารู้อะไรพี่ เจ้าของร้านก็บอกว่า เพื่อนแกอะตายแล้วนะ ผมก็อึ้งไปเลย แล้วถามแกว่าโกหกหรือเปล่า อำแรงไปนะพี่ เจ้าของร้านก็ว่าตายแล้วจริงๆ ตายเมื่อวันศุกร์ ขับไปส่งลูกค้า แล้วโดนรถเฉี่ยวล้ม แล้วโดนคันหลังวิ่งมาทับ ฉันก็นึกว่าแกรู้แล้ว แล้วมาอำฉัน ยังดีว่ามาแค่กลิ่นธูปนะ บางคนเขานั่งกินเบียร์กันอยู่ ก็เห็นแกเดินมาจะมานั่งกินด้วยก็มีเลย ผมได้แต่ขนลุกเพราะตอนที่ยืนคุยกับพี่เจ้าของร้าน ผมก็ยังได้กลิ่นธูปอยู่เลย จนต้องขอกลับบ้าน และคิดในใจว่าไปที่ชอบๆนะพี่นะ
เรื่องของผมก็มีเท่านี้นะครับ ถ้ามีพิมพ์ผิดหรือตกหล่นก็ขออภัยด้วยนะครับ